วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562

เทศกาลดนตรี



ประวัติศาสตร์งานดนตรี

เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่แล้ว คงเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราเวลาทำกิจกรรมประจำวัน ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าว ทำงาน ดูหนัง หรือแม้กระทั่ง ไปดูคอนเสิร์ต วันนี้ Greedgigs ขอนุญาติเล่าความเป็นมาของการจัดงานคอนเสิร์ตตั้งแต่อดีตกาลนะครับ

คำว่า Festival กำเนิดขึ้นครั้งแรกใรศตวรรษที่ 16 โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า Feast ซึ่งแปลว่า งานเลี้ยง หรืองานฉลอง
• จริงๆ แล้ว ตามพงศาวดาร (เหรอ) ได้กล่าวไว้ว่า จริงๆแล้วมันมีมาตั้งแต่สมัยกรีกโรมันโบราณแล้วด้วย เมื่อ 6 ศตวรรษก่อนคริสตสักราช เป็นการแข่งขันการเล่นดนตรีใน เหมือนกับกีฬาทั่วๆไป ใน Pythian Games (เหมือนกับ Olympic Games).
หรือแม้กระทั่งปีในปี คศ.ที่ 1000 ก็มีการจัดงานเต้นทที่ชื่อว่า Mods ที่ประเทศสกอตแลนด์ หรือ Feis ที่ประเทศไอร์แลนด์
• พอๆ เรามาเล่าถึงเรืองเที่ค่อนข้าง เกี่ยวกับปัจจุบันบ้างดีกว่
งานเทศกาลดนตรีจริงๆ แล้วมีแต่คนคิดว่ามันคงมีมาแต่ที่ยุโรป แน่ๆ แต่จริงๆแล้วมีงานเทศกาลดนตรีที่จัดต่อกันยาวนานที่สุดด้วยนะ อยู่ที่ประเทศอินเดีย
คือชื่องาน Tyagaraja Aradhana ซึ่งเป็นงานเทศกาลดนตรีที่เกียวกับเพลงอินเดียคลาสสิค ซึ่งจัดมาตั้งแต่ปี 1847 หรือจัดมานานกว่า 171 ปีแล้วว เยดโด้ จัดไปได้ไงวะเนี่ย
• ส่วนงานเทศกาลดนตรีของฝั่งตะวันตกที่มีการบันทึกไว้ งานแรกจะเป็นงาน Newport Jazz Festival (ปัจจุบันยังคงจัดอยู่) ซึ่งเป็นงานดนตรี Jazz ที่จัดขึ้นที่ Rhode island(อเมริกา) ในปี 1952 ซึ่งมีผู้ชมถึง 13,000 คนเลยทีเดียว โดยมีการเล่นเพลง Jazz ,Blues และ Gospel มีศิลปินอย่าง Billie Holiday, Ella Fitzgerald และ Dizzy Gillespie มาร่วมแสดง
ทั้งนี้ที่งาน Newport นี้เองได้เป็นการจัดการโดยกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบงานครื้นเครง จึงเกิดความคิดที่ให้มีการตั้งเต้นท์ หรือนอนในสถานที่โรงจอดรถ เพื่อนที่จะได้ให้ผู้ชมมาอยู่ด้วยกันและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางดนตรีด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่เกิน 10 ปีก็มีงานลูกคลอดออกมาชื่อว่า Newport Folk Festival ในปี 1959 ซึ่งงานดนตรีส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวโฟลค์ ฟังสบายๆ แต่แล้วมีอยู่ปีหนึ่งซึ่งคือปี 1965 ซึ่ง Bob Dylan ศิลปินชื่อดังในขณะนั้น และได้เป็น Headliner ได้อยากลองเล่น กีตาร์ไฟฟ้าตอนแสดงโชว์ขแงเค้า ซึ่งผลตอบรับก็คงเป็นที่งงของคนดูว่ามึงเล่นเหี้ยอะไรนี่ คนจะฟังเพลงโฟลค์ เหมือนเป้นการแนะนำดนตรี RocknRoll ให้กับเราๆ ให้เรารู้จักกันก่อน
• หลังจากที่ RocknRoll กำลังดัง และยังไม่มีงานไหนที่นำเพลง RocknRoll มาจัดสักที ก็มีการจัดงาน The Monterey Pop Festival ขึ้นมา ที่ California ในปี 1967 โดยมีศิลปินอย่าง Janis Joplin มThe Who หรือ Ravi Shankar และ ที่ขาดไม่ได้คือ Jimi Hendrix ที่ได้บรรเลงเพลงร๊อคแอนด์โรล์อย่างเมามันในตอนนั้น โดยถือว่าเป็นการแจ้งเกิด Jimi เลยก็ว่าได้ และประวัติศาสตร์ในวงการร๊อคเลยก็ว่าได้ ในงานมีผู้เข้าชมร่วมกว่า 90000 คนเลยทีเดียว
หลังจากนั้นอีก อีกไม่นาน หน้าประวัติศาสตร์เทศกาลดนตรีก็ต้องจารึกไว้ เพราะได้มีงานเทศกาลดนตรีอันใหม่ที่มีชื่อว่า Woodstockจัดขึ้นที่ NewYork ในปี 1969 เป็นงานดนตรีที่สามารถรวบรวมหนุ่มสาวทั่วอเมริกาได้ถึง 500,000 คน อยู่ด้วยกันถึง 3 วัน 3 คืน มีพื้นที่ถึง 600 เอเคอร์ (2.4 ตร.กม.) ฃ ทั้งนี้ ตอนแรกทางเจ้าของงาน ต้องการขายบัตรเพียง 50,000 ใบ แต่สุดท้ายบัตรดันขายได้ถึง 180,000 ใบเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอด ก็มีคนไหลมาถึง 500,000 คน ที่มีคนหลั่งไหลมาฟังเสียงเพลง ความรัก และ สันติภาพ ด้วยความโกลาหลของคนที่พรั่งพลูมาที่งานเยอะขนาดนั้น หลายคนคงคิดว่าน่าจะมีจลาจลเกิดขึ้นแน่ๆ แต่มีผู้เสียชีวิตเพียงแค่ 3 คน โดยไม่ได้มีจากการต่อสู้เลย อีกทั้งยังมีเด็กน้องลืมตาดูโลกในงาน Woodstock นี้ด้วย โดยมีวงดนตรีอย่าง Joan Baez, Arlo Guthri, The Who, Country Joe, Sly and The Family Stone, Canned Heat, Joe Cocker, Jimi Hendrix Crosby, Stills, Nash and Young The Greatful Dead, The Band, Bloods Sweat and Tears, Creedence Clearwater Revival, Incredible String Band, Johnny Winter, Paul Butterfield, Janis Joplin, Mountain and Keef Hartley, Melanie, Ravi Shankar
เรียกได้ว่ามาอย่างคับคั่งเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังมีภาพยนต์สารคดีเกี่ยวกับงาน Woodstock ด้วยนะ เพื่อนๆ ลองไป ดูกัน
• หลังจากที่เทศกาลดนตรีได้ประสบความสำเร็จที่เมืองลุงแซม ,ก็ได้มีการมีการมาเปิดตลาดที่เมืองผู้ดีบ้าง ในปี 1970 กับเทศกาล Isle of white ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษ มี Line up อย่าง Jimi Hendrix ,Cactus ,The door ,The Who ,ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นงานเทศกาบดนตรีที่มีคนไปเยอะที่สุดในโลก ถึง 700,000 กว่าคนเลยทีเดียว (สถิติอยู่ที่งาน DONAUINSELFEST ที่เมือง Vienna ออสเตรีย ในปี 2015 กับผู้เข้าร่วมกว่า 3.3 ล้านคน ศิลปินกว่า 2000 คน ตลอด 3วัน3 คืน)
• แต่แล้ว 2 ผู้ชมจากในงาน Isle of Wight นี่แหละที่ได้เปิดโลกกับงานเทศกาลดนตรีแห่งแรกของเกาะอังกฤษ อย่าง Andrew Kerr และ Michael Eavis ก็ได้มีความคิดว่าอยากจะมีงานเทศกาลเป็นของตัวเอง Glastonbury จึงได้เกิดขึ้นมาจากการร่วมมือของเพื่อนทั้งสองคน โดยทั้งนี้ Michael เป็นเจ้าของฟาร์ม และได้คิดค่าตั๋วในตอนนั้นแค่ 1 ปอนด์(ตอนนี้ 200 กว่ามั้ง) ตอนนี้งาน Glastonbury ถือเป็นงานที่มีคนอยากไปมากและเป็นสถานที่ศิลปิน อัลเทอร์เนทีฟ ทั่วโลกที่อยากไป ใครได้ขึ้นเป็น Headliner ถือว่าเป็นรางวัลชีวิตเลยก็ว่าได้ โดยงาน Glastonbury จะจัดขึ้นช่วงหน้าร้อนของปี โดยจัดขึ้น 3วัน 3 คืน และจะหยุดพักทุก 5 ปี เพราะว่าต้องให้สภาพของฟาร์มฟื้นฟูเสียหน่อยหลังจากมีการเหยียบย่ำมา 5 ปี
นอกจากที่เกาะอังกฤษ ก็ยังมีงานเทศกาลดนตรีอื่นๆในยุโรปอีกอย่าง Pinkpop ที่จัดขึ้นที่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยจัดขึ้นในปีเดียวกันกับ Glastonbury เลย งานจะจัดขึ้นทุกวนสำคัญทางศาสนาอย่าง Pentecost Monday, ในช่วงแรกๆที่จัด มีการแจกหมูย่าง และแอปเปิลฟรีกับผู้ชมดวยนะ
หลังจากนั้น เทศกาลดนตรีร๊อคก็เริ่มขยายไปเรื่อยๆ ในช่วงปี 1980 ไม่ว่าจะเป็นงาน Roskild ,Bubershoot หรือ Lollapalooza
หรือในปี 1985 ได้มีงาน initail Rock ที่เมือง Rio de janeiro ที่มีคนเข้างานถึง 1.5 ล้านคน ที่มี headliner อย่าง Queen และ ACDC
• และก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกอย่างนึงของงานเทศกาลดนตรีคือ งานอิเลคโทรนิค ตอนนั้นเพลงอิเลคโทรนิคกำลังบูม โดยมีอิทธิพลมาจากอเมริการอย่าง แนว house จากเมือง Chicago และ techno จาก Detriot ได้เข้ามาเผยเพร่ในแถบยุโรป พอดีกับตอนนั้นที่ กำแพงBerlin ได้พังทลายลง จึงทำให้เมืองได้เปิดมากขึ้น ได้รับวัฒนธรรมต่างๆเข้ามา โดยเฉพาะทางด้านดนตรี จึงมีการกำเนิดของงานดนตรีอิเลคทรอนิคเกิดขึ้นครั้งแรก อย่าง Loveparade ที่เปิดเพลง Trance/House/Techno ในปี 1989 ที่เมือง Berlin จัดขึ้นกลางถนน มีผู้ชมเข้าร่วมแค่ 150 คน (ล่าสุดมีคนเข้าร่วมงานถึง 800,000 คนในปัจจุบัน)
หลังจากนั้นก็มีการกำเนิดเทศกาลอิเลคโทรนิคต่างๆ อย่าง KaZantip ที่คาบสมุทรไครเมีย ประเทศยูเครนในปี 1992 จัดถึงสามสัปดาห์เลยทีเดียวและมีดีเจกว่า 300 คนมาร่วมแสดง
หลังจากนั้นก็ถือเป็นจุดกำเนิดของงานเทศกาลดังๆต่างๆ ในช่วงยุค 90 อย่างเช่น Big day out ที่ออสเตรเลีย , Fuji Rock ที่ญี่ปุ่น , Sziget ทีประเทศฮังการี ,Coachella ในแคลิฟอร์เนีย (ตอนแรกมีคนเข้าร่วม 10,000 คน เพื่อที่จะไปดู Beck, Jurassic 5 และ Rage Against the Machine )
รวมถึงมีการย้ายเทศกาลดนตรีไปไว้ที่เมืองอื่นบ้าง (ใครคิดไม่ออก ก็เหมือนงาน Ultra ที่แทบจะมีทุกประเทศเลย) เริ่มแรกที่งาน The Vans Warped Tour
ในเรื่องของ Production ตอนแรกงานเทศกาลต่างๆ ก็โฟกัสที่เรื่องของดนตรีอย่างเดียว แต่หลังจากที่มีเทศกาบอื่นผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้หลายเทศกาบจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง เริ่มที่งาน Coachella ที่ลงทุนทำในเรื่อง Backdrop เรื่องไฟ เรื่อง Production ให้ดีขึ้น จนดังในเรื่อง production
หรือแม้กระทั่ง มีธีมเป็นงานการกุศล อย่าง งาน Live Aid and Earth Aid
• ช่วงปลายปี 1999 ก็ได้มีการกำเนิดเทศกาล EDM งานแรกขึ้นอย่าง Electric Daisy Carnival ในเมือง Los Angeles ปี 1999 ซึ่งก็เป็นที่โด่งดังได้ง่ายเพราะว่าด้วยความที่เป็นเนวเพลงที่ค่อนข้างตลาด ฟังง่าย จึงได้มีงานอื่นๆ ตามมาในช่วง ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ฏมีทุกแนว ไม่ว่าจะเร็กเก้ หรือ ฮิปฮอป ก็เริ่มผุดขึ้นมาเรื่อย
• ส่วนที่ประเทศไทย เทศกาลแรกที่จัด ก็คงจะเป็น Big Mountain Music festival ที่จัดขึ้นในปี 2010 ที่เโบนันซ่า เขาใหญ่ จำนวนผู้ชมกว่า 25,000 คน ศิลปินกว่า 130 ชีวิต จัดแค่ 2 วัน ถือว่าเป็นส่วน Festival ที่ริเริ่ม หลังจากนั้นก็เริ่มมีงานเทศกาลผุดมาอีกไม่ว่าจะเป็น
– Overcoat
– WARP
– S2O
– Waterzonic
– Dropzone
– Huahin Jazz Festival
– อีสานเขียว
– MAYA Music Festival
– Wonderfuit


อ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=xVWs0ti0J90
https://www.youtube.com/watch?v=MR7CPbS3000
https://www.greedgigs.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น